อันตรายจากแสงแดดที่มากกว่ารังสี UV แสงอาทิตย์ที่ผ่านมายังโลก ประกอบด้วยคลื่นพลังงานแม่เหล็กหลากหลายความยาวคลื่นด้วยกัน เมื่อแสงเดินทางผ่านเข้ามาสู่ชั้นบรรยากาศของโลก คลื่นพลังงานบางช่วงความยาวจะถูกดูดซับหรือสะท้อนกลับ โดยรังสีที่ผ่านลงมาสู่พื้นผิวโลก ประกอบด้วย รังสีอัลตราไวโอเลด (Ultraviolet, UV) แบ่งเป็น UVA, UVB และ UVC แต่โอโซนในบรรยากาศได้กรอง UVC ออกไป จึงพบเฉพาะ UVA และ UVB เท่านั้นบนผิวโลก, แสงที่มองเห็นได้ (Visible light), และรังสีอินฟราเรด (Infrared)[7], [9] โดยทั่วไปเรามักจะนึกถึงแต่อันตรายของรังสี UVA และ UVB “แต่ทราบหรือไม่ว่ากว่า 54% ของรังสีที่ตกกระทบมายังโลกคือ รังสีอินฟราเรด” ที่เหลือจะเป็น Visible Light ประมาณ 39% ส่วนรังสี UVA และ รังสี UVB ที่เรานึกถึงและรู้จักกันดีมีเพียง 7% เท่านั้น[9] (Fig.1) “เกินกว่าครึ่งของรังสีที่ผ่านมายังโลกเป็น รังสีอินฟราเรด”
Fig.1 Radiation emitted from the sun [9] ทำความรู้จักกับรังสีอินฟราเรด... รังสีอินฟราเรดคืออะไร รังสีอินฟราเรด (Infrared; IR) หรือ รังสีความร้อน เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่แผ่มาจากดวงอาทิตย์ ที่มีความถี่ถัดจากความถี่ของแสงสีแดงลงมา ด้วยเหตุนี้จึงเรียกรังสีนี้ว่า “รังสีอินฟราเรด” หรือ “รังสีใต้แดง” รังสีอินฟราเรดมีแหล่งกำเนิดมาจากความร้อน เป็นรังสีที่มีพลังงานน้อยแต่ให้ความร้อนสูง จึงมีอีกหนึ่งชื่อเรียกว่า รังสีความร้อน[5] สำหรับรังสีอินฟราเรดนั้นมีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 0.75 ไมโครเมตร- 1 มิลลิเมตร เป็นคลื่นที่มีความยาวคลื่นยาวกว่าแสงสีแดงที่เป็นแสงที่ตาสามารถมองเห็นได้ ทำให้มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นรังสีอินฟราเรดได้ด้วยตา แต่เมื่อรับสัมผัสรังสีเราจะรู้สึกถึงความร้อนได้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาเรารู้สึกร้อนจากแสงแดด หรือจากเปลวไฟ ล้วนแล้วแต่เป็นรังสีอินฟราเรดทั้งสิ้น สัตว์บางชนิด เช่น งู ที่สามารถสัมผัสรังสีอินฟราเรดได้ ทำให้ทราบตำแหน่งของเหยื่อ จากการสัมผัสกับรังสีอินฟราเรดที่แผ่ออกมาจากเหยื่อ[1] ปัจุบันมีการนำรังสีอินฟราเรดมาใช้ประโยชน์มากมาย อาทิเช่น การควบคุมเครื่องใช้ระบบไกล (Remote control) การสร้างกล้องอินฟราเรดที่สามารถมองเห็นวัตถุในที่มืดได้ และเครื่องกำเนิดความร้อนทั่วไป เช่น เตาแก๊สอินฟราเรด ห้องอบเซาว์น่า แผ่นกายภาพบำบัด เป็นต้น [5] รังสีอินฟราเรด สามารถแบ่งช่วงความยาวคลื่นได้เป็น 3 ช่วง ซึ่งแต่ละช่วงความยาวก็มีการนำมาประยุกต์ใช้ที่แตกต่างกัน คือ[1] (Fig.2) 1. รังสีอินฟราเรดคลื่นสั้น (Near Infrared; IR-A) มีความยาวคลื่นประมาณ 0.75 ไมโครเมตรจนถึง 1.5 ไมโครเมตร มักจะประยุกต์ใช้ในงานถ่ายภาพความร้อน และถือเป็นช่วงรังสีที่สามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังได้ลึกที่สุด ใน 3 ช่วงความยาวคลื่นนี้ 2. รังสีอินฟราเรดคลื่นกลาง (Medium Infrared; IR-B) มีความยาวคลื่นประมาณ 1.5 ไมโครเมตรจนถึง 5.6 ไมโครเมตร โดยมักประยุกต์ใช้กับระบบนาวิถีของจรวด Missile 3. รังสีอินฟราเรดคลื่นยาว (Far Infrared; IR-C) มีความยาวคลื่นประมาณ 5.6 ไมโครเมตรขึ้นไป รังสีในช่วงคลื่นยาวนี้จะมีพลังงานความร้อนไม่มากนัก จึงนิยมใช้ในการบำบัดผู้ป่วย เช่น อาการปวดเมื่อยเรื้อรัง และผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิต เป็นต้น
Fig2. Electromagnetic Spectrum [1] แม้ว่าในปัจจุบันมีการนำรังสีอินฟราเรดช่วงคลื่นยาว(IR-C) หรือ ฟาอินฟราเรด(FIR) มาประยุกต์ใช้ประโยชน์และได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก[1] แต่ทราบหรือไม่ว่ารังสีช่วงคลื่นสั้น คือ ช่วงรังสีตัวร้ายที่สามารถทำลายผิวของเราได้ กว่า 30% ของรังสีอินฟราเรด ที่ผ่านลงมายังโลก คือรังสี IR-A หรือ รังสีอินฟราเรดช่วงคลื่นสั้น (NIR) ซึ่งสามารถทะลุผ่านชั้นผิวของเรา และทำร้ายผิวของเราได้โดยไม่รู้ตัว[9] ร้ายกว่ารังสี UV ... ...รังสีอินฟราเรดส่งผลเสียอะไรต่อผิวของเราบ้าง... จากข้อมูลข้างต้นแสงแดดประกอบด้วยรังสีหลายชนิดคือ UVA., UVB., UVC., Visible light., Infrared เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่มีให้เลือกใช้ในปัจจุบันมักมีส่วนประกอบที่ปกป้องได้เฉพาะรังสี UVA, UVB ซึ่งพบว่าเป็นรังสีที่ ทำให้เกิดผิวร้อน บวมแดง ผิวเหี่ยวย่นก่อนวัย ฝ้า กระ ผิวไม่เนียนสวยสม่ำเสมอ …แต่พบว่าแม้เราจะทาครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UVA และ UVB อย่างครบถ้วน ทาถูกต้องตามหลักการที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ ก็ยังปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระซึ่งถูกแสงแดดกระตุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียง 53% เท่านั้น สาเหตุเป็นเพราะว่า อีกหนึ่งตัวการทำร้ายผิวที่มากับแสงแดดนั้น ไม่ได้มีแค่รังสี UVA และ UVB ที่เรากลัวกันมาเนิ่นนานเพียงเท่านั้น แต่ยังมีรังสีอินฟราเรดเอ (IR-A) ซึ่งพบว่าเป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญที่ทำร้ายผิวทำให้ผิวเกิดริ้วรอยก่อนวัย [4] กว่า 30% ของรังสีอินฟราเรดจะเป็น รังสีอินฟราเรดช่วงคลื่นสั้น หรือรังสีอินฟราเรดเอ (IR-A) ซึ่งจากภาพ (Fig.3) จะเห็นว่ารังสี IR-A สามารถผ่านเข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกกว่ารังสีอินฟราเรดช่วงคลื่นกลาง (IR-B) และรังสีอินฟราเรดช่วงคลื่นยาว (IR-C) โดยประมาณ 65% ของรังสี IR-A สามารถผ่านเข้าสู่ชั้นผิวได้ลึก (skin’s dermal layer) ทั้งชั้น Epidermis, Dermis และ Subcutaneous โดยอาจไม่ทำให้อุณหภูมิที่ผิวหนังเพิ่มสูงขึ้น[9] นั่นเท่ากับว่ารังสี IR-A สามารถผ่านเข้ามาในชั้นผิวของเราได้ โดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัว จากที่กล่าวมาตัวการร้ายคือรังสี IR-A หรือรังสีอินฟราเรดช่วงคลื่นสั้น ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดริ้วรอยและผลเสียต่างๆ[4] รังสีอินฟราเรดสามารถแทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ลึก ทั้งยังสามารถผ่านแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ผิวในระดับเซลล์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการแบ่งเซลล์ ที่ไม่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชั้นผิวหนัง ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่รับรังสีอินฟราเรดได้โดยไม่รู้ตัว หากได้รับรังสีติดต่อกันเป็นเวลานาน จะสะสมเกิดความเสียหายต่อผิวหนัง[2] อันได้แก่ ริ้วรอยลึกก่อนวัย ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น (elastosis)[8] รวมถึงเกิดความหมองคล้ำ ล้วนแล้วแต่เป็นผลร้ายที่เกิดขึ้นได้จากการสัมผัสรังสีอินฟราเรด[3]
Fig.3 Penetration of UV and IR rays into the skin [9] กระบวนการที่ส่งผลให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย ซึ่งเป็นผลมาจากการสัมผัสรังสี IR-A นั้นคือ รังสีอินฟราเรดสามารถกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ และลดประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระในชั้นผิว [6] รังสีอินฟราเรดเมื่อทะลุผ่านผิวลงมา จะถูกดูดซับไว้ที่ Mitochondria [7], [8] โดยจะไปกระตุ้นการเกิด ROS (Reactive Oxygen Species) [6], [7], [8] (Fig. 4) ซึ่งถือเป็นอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งในร่างกาย ส่งผลให้เกิดการอักเสบของเซลล์ (inflammation) และการแสดงออกที่ผิดปกติของยีน ซึ่งมีผลต่อความสมดุลของคอลลาเจนภายในผิว (dermal collagen breakdown) [7], [8] โดยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ MMP-1 (Matrix Metalloproteinase 1) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่กระตุ้นการทำลายคอลลาเจนในผิวหนัง [8] ร่วมกับส่งผลลดการทำงานของเอนไซม์ COL1A1 (Procollagen alpha-1) ที่เป็นเอนไซม์ที่สร้างคอลลาเจน มีผลให้การสร้างคอลลาเจนในผิวหนังลดลง [10] ผลที่ตามมาคือผิวหนังจึงขาดความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยเหี่ยวย้นก่อนวัย จุดด่างดำ และถ้าหากได้รับในปริมาณมากๆ อาจมีผลต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย [4], [8], [9] นอกจากนี้รังสีอินฟราเรดยังส่งผ่านความร้อนสะสมไปยังผิว พบว่าความร้อนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในระดับโมเลกุล ทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพและถูกทำลาย[4] ทั้งยังกระตุ้นการสร้างเม็ดสี [8] รวมถึงมีผลต่อการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชั่นที่เซลล์ผิวได้ไม่ต่างจากรังสี UVA [4] …รังสีอินฟราเรดจึงถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำร้ายผิวและทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย [7]
Fig.4 Solar radiation spectrum and its effect on skin [8] รังสีอินฟราเรด ก่อให้เกิดปัญหาผิว (Skin Problems) ได้ดังนี้ [3], [4], [6], [7], [8], [9], [10] • ปัญหาผิวหมองคล้ำ, สีผิวไม่สม่ำเสมอ, การสร้างเม็ดสีผิดปกติ (dullness and hyperpigmentation) • ปัญหาริ้วรอย เหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย (wrinkle and skin aging) • ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น (elastosis) • มะเร็งผิวหนัง (skin cancer/ photocarcinogenesis) รังสีอินฟราเรดจัดเป็นรังสีที่อยู่ใกล้ตัวเรา และเราสัมผัสอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว จากที่ทราบกันดีแล้วว่ารังสีอินฟราเรดจะแสดงออกมาในรูปแบบของความร้อน เมื่อเรารู้สึกร้อนเวลาโดนแสงแดดหรือเวลาเราอยู่ใกล้ไฟ นั่นเท่ากับว่าเราสัมผัสกับรังสีอินฟราเรดได้ แม้ว่าตาเราจะไม่สามารถมองเห็นรังสีอินฟราเรดได้ก็ตาม[5] ไม่เพียงแต่รังสีจากแสงแดดเท่านั้น ในชีวิตประจำวันเราทุกคนสัมผัสรังสีอินฟราเรดได้จากเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกมากมาย อาทิเช่น คอมพิวเตอร์ หลอดไฟชนิดทังสเตน Gadgets เตาอบ ไดร์เป่าผม เป็นต้น [2] ปัจจุบันผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีในท้องตลาดสามารถปกป้องผิวเราได้เพียงแต่รังสี UV เท่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยตามที่กล่าวมาข้างต้น ควรเริ่มมองหาผลิตภัณฑ์กันแดดที่สามารถปกป้องได้ครอบคลุมถึงรังสีอินฟราเรดได้ด้วย ก็จะทำให้ผิวของเราได้รับการปกป้องที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น [7] …แสงอาทิตย์ที่มีรังสีผ่านลงมาสู่พื้นผิวโลก โดยทั่วไปเรามักจะนึกถึงแต่อันตรายของรังสี UVA และ UVB… “แต่ทราบหรือไม่ว่ากว่า 54% ของรังสีที่ตกกระทบมายังโลกคือ รังสีอินฟราเรด” เกินกว่าครึ่งของรังสีจากแสงอาทิตย์ที่ผ่านมายังโลกเป็นรังสีอินฟราเรด ที่เหลือจะเป็น Visible Light ประมาณ 39% ส่วนรังสี UVA และ รังสี UVB มีเพียง 7% เท่านั้น …รังสีอินฟราเรด เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “รังสีความร้อน” หรือ “รังสีใต้แดง” หรือ “รังสีไออา” (IR) มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 750 นาโนเมตร - 1 มิลลิเมตร เป็นคลื่นความร้อนที่มีความยาวคลื่นที่ยาวกว่าแสงสีแดงที่ตาสามารถมองเห็นได้ ทำให้มนุษย์ไม่สามารถมองเห็น… …รังสีอินฟราเรด เป็นรังสีที่มีพลังงานน้อยแต่ให้ความร้อนสูง แต่ก็รู้สึกถึงความร้อนได้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาเรารู้สึกร้อนจากแสงแดด หรือจากเปลวไฟ ล้วนแล้วแต่เป็นรังสีอินฟราเรดทั้งสิ้น… …รังสีอินฟราเรดช่วงคลื่นสั้น (Near Infrared; NIR/ IR-A) IR-A, 0.75-1.5 µm เป็นช่วงรังสีที่สามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังได้ลึกที่สุด เมื่อเทียบกับรังสีอินฟราเรดช่วงคลื่นกลาง (MIR) และคลื่นยาว (FIR)… …กว่า 30% ของรังสีอินฟราเรดจะเป็น รังสีอินฟราเรดเอ (IR-A) ทะลุผ่านชั้นผิวได้ลึกและทำร้ายผิวของเราได้โดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดผิวร้อน บวมแดง ผิวไม่เนียนสวยสม่ำเสมอ… …ผิวหนังที่สัมผัสรังสีอินฟราเรดติดต่อกันเป็นเวลานาน จะสะสมเกิดความเสียหายและผลร้ายต่อผิวหนัง ได้แก่ …ริ้วรอยลึก เหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย… ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น รวมถึงเกิดความหมองคล้ำ และที่น่ากลัวสุดคือ มะเร็งผิวหนัง… …รังสีอินฟราเรดเอ (IR-A) กระตุ้นการทำงานเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจนในผิวหนัง …รังสี IR-A จึงถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำร้ายผิวและทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย… …ควรเริ่มมองหาผลิตภัณฑ์กันแดด ที่มีค่าการปกป้องสูง ซึ่งไม่เพียงแต่ป้องกันรังสียูวี แต่สามารถปกป้องได้ครอบคลุมถึงรังสีอินฟราเรดได้ด้วย ก็จะทำให้ผิวของเราได้รับการปกป้องที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และเป็นตัวช่วยง่าย ๆ แต่สำคัญมาก สำหรับการปกป้องผิวเราให้แกร่งสู้แดดและริ้วรอยลึกก่อนวัย
- ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร http://www.facebook.com/moryanaresuan
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น