วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การเลือกครีมกันแดด



แต่เดิมครีมกันแดดให้ความสำคัญกับการป้องกัน UVB เท่านั้น เนื่องจาก UVBทำให้เกิดผิวหนังแสบไหม้ แต่ปัจจุบันเป็นที่ทราบดีกันว่า อันตรายต่อผิวหนัง เกิดทั้งจากUVA และ UVB โดยเฉพาะ UVA1 ทำให้ผิวหนังมีริ้วรอยเหี่ยวก่อนวัยได้มากกว่า ดังนั้นการเลือก สุดยอดครีมกันแดด ที่ดี จึงต้องป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB ประสิทธิภาพ ในการป้องกัน UVBดูได้จากค่า SPF (sun protection factor) ส่วนประสิทธิภาพในการ ป้องกัน UVA ดูได้จาก CW (critical wavelength) หรือ PA (protection grade from UVA) เพื่อให้เข้าใจความหมายของ SPF ได้ง่ายขึ้น จะขอยกตัวอย่างคือ ผิวหนัง ที่ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 5 หรือครีมกันแดดทาหน้า หมายความว่าจะใช้เวลาตากแดด นานขึ้น 5 เท่า เมื่อเทียบกับผิวที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด กว่าจะมีผิวหนัง แสบไหม้ ค่า SPF ยิ่งมากขึ้น ประสิทธิภาพในการป้องกัน UVB ก็ยิ่ง มากขึ้น ล่าสุดองค์การอาหารและยาของ สหรัฐอเมริกา กำหนดให้ระบุ SPF สูงสุดเป็น “50+” เนื่องจากไม่มีหลักฐานเพียงพอ ที่จะสนับสนุน ว่าครีมกันแดดที่มี SPF มากกว่า 50 จะมีประสิทธิภาพดีมากขึ้นไปอีก ส่วนประสิทธิภาพในการป้องกัน UVA (UVA protection factor, UVA-PF) ดูได้จากค่าการป้องกันอาการผิวคล้ำจาก UVA ในครีม กันแดด ( persistent pigment darkening ,PPD) โดยค่า PPD ยิ่งสูง ยิ่งป้องกัน UVA ได้ดี ทำให้แบ่ง ครีมกันแดดตามประสิทธิภาพตามค่า PA แบ่งเป็น PA+(ประสิทธิภาพป้องกันต่ำ), PA++, PA+++,หรือPA++++ (ประสิทธิภาพป้องกันสูงสุด) ล่าสุดองค์กรอาหารและยา ของสหรัฐอเมริกาให้ใช้ critical wavelength (CW) เพื่อบอก ประสิทธิภาพ ในการป้องกัน UVA แทนโดย CW ต้องมากกว่า 370 nm จึงสามารถ label ได้ว่าเป็น broad spectrum และสามารถระบุว่าลด อัตราเสี่ยงการเกิดมะเร็งผิวหนัง และ ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัย ถ้าเป็น ทั้ง broad spectrum และ SPF มากกว่า หรือ เท่ากับ 15 แต่อย่างไร ก็ตาม สมาคมผิวหนังแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำให้ใช้ ครีมกันแดด ที่เป็น broad spectrum และSPF อย่างน้อย 30 ทุกวันเพื่อป้องกันมะเร็งผิวหนัง เนื่องจากคนส่วนใหญ่ทาครีมกันแดดน้อยกว่าที่ควรเป็น ส่วนทาง European Commission กำหนดว่าครีมกันแดดเป็น broad spectrum ได้ต้องมี CW ต้อง มากกว่า 370nm และ ค่า UVA PF ต้องมีค่า อย่างน้อย 1/3 ของค่า SPF เช่น ครีมกันแดดที่มี SPF 30 ต้องมี UVA-PF อย่างน้อย 10 โดยใช้สัญญลักษณ์วงกลม ที่มีคำ UVA อยู่ภายใน ระดับของประสิทธิภาพ ค่า UVA-PF การแสดงค่า PA ต่ำ 2 หรือมากกว่า แต่น้อยกว่า 4 PA+ กลาง 4 หรือมากกว่า แต่น้อยกว่า 8 PA++ สูง 8 หรือมากกว่า แต่น้อยกว่า 16 PA+++ สูงสุด ตั้งแต่ 16 ขึ้นไป PA++++ การพิจารณาประสิทธิภาพของครีมกันแดดต้องดูทั้ง SPF และ CW ประกอบกัน เนื่องจากครีมกันแดดบางชนิดอาจมี CW สูงแต่มีค่า SPFต่ำได้ (ป้องกันUVAได้ดี แต่ ป้องกัน UVB ได้น้อย) การเลือก โลชั่นกันแดดที่ดีที่สุด ควรเลือกตามกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ว่าต้องตากแดดมากน้อย เพียงใด ถ้าต้องตากแดดมาก ควรเลือกครีมกันแดดที่เป็น broad spectrum และ SPF มากกว่า 30 นอกจากนี้ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกายังห้ามใช้คำ water proof หรือ sweat proof เนื่องจากทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดได้ว่า ครีมกันแดด นั้นป้องกันแสงแดด ได้ตลอดไป ไม่ต้องทาครีมกันแดดเพิ่ม แต่อย่างใด จึงให้ใช้ water resistant (40 minutes) หรือ very water resistant (80 minutes) เมื่อครีมกันแดดนั้นยังคงประสิทธิภาพ ป้องกัน แสงแดดหลังจาก water immersion เป็นเวลา 40 หรือ 80 นาทีตามลำดับ รูปแบบผลิตภัณฑ์กันแดด มีหลายรูปแบบที่พบบ่อยและใช้กัน แพร่หลาย คือ โลชั่น และครีม ส่วนเจลเหมาะสำหรับคนผิวมัน หรือเป็นสิวได้ง่าย แต่ เจลจะถูกล้างหลุดได้ง่าย ถ้ามีเหงื่อออก หรือว่ายน้ำ ส่วนรูปแบบแท่ง (stick) เหมาะสำหรับการทาบริเวณพื้นที่เล็ก เช่น ริมฝีปาก หรือจมูก สำหรับชนิดสเปรย์ ใช้ง่ายสะดวก แต่อาจทำให้ใช้ปริมาณน้อยไป ไม่เพียงพอในการป้องกันแสงแดด และต้องระวังว่าสเปรย์ติดไฟได้ง่าย นอกจากนี้ยังพบ สารกันแดด ในแชมพูเพื่อป้องกันสีผมเปลี่ยนหรือการทำลาย โปรตีนในเส้นผมอันเนื่องมา จากแสงแดดปัจจุบันมีการใส่สารกันแดดใน ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่างๆ เช่น รองพื้น แป้งแต่งหน้า แต่อาจไม่ สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB อีกทั้งมีค่า SPF ต่ำ จึงควรทา ครีมกันแดดร่วมด้วย อย่าลืมดูวันหมดอายุของครีมกันแดดด้วย ควรทาครีมกันแดด 15-30 นาทีก่อนออกแดด และควรทาครีมกันแดด ให้ทั่วถึง และควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง เนื่องจากสารกันแดดบางตัวจะ สลายตัวเมื่อโดนแดด และ ควรทาซ้ำโดยเฉพาะเมื่อมีเหงื่อออก หรือว่ายน้ำ อีกทั้งควรใช้ครีมกันแดดชนิด water resistant ด้วย สำหรับปริมาณที่ใช้ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับค่า SPF ที่ ระบุนั้น ต้องทา 2 mg/cm เช่น บริเวณหน้า ศีรษะ และคอ ใช้ครีมกันแดด ประมาณ 1 ช้อนชา หรือ ปริมาณครีมเต็ม 2 ข้อนิ้วมือสำหรับหน้า สำหรับแขน ข้างละ 1 ช้อนชา ขาข้างละ 2 ช้อนชา ส่วนลำตัวด้านหน้าและหลังใช้ 2 ช้อนชา ถ้าต้องการ ทาครีมกันแดด ทั่วตัว ก็ประมาณ 35 มิลลิลิตร คนส่วนใหญ่ทาครีมกันแดด ปริมาณน้อยกว่าที่ควร คือประมาณ 25%-50% (0.5mg/cm2) ทำให้ ได้SPF เพียง 33% ของที่ระบุไว้ อาจ เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงกว่า SPF ที่ต้องการเพื่อชดเชยก็ได้ ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ควรใช้ครีมกันแดด กลุ่ม zinc oxide และ titanium dioxide เพื่อความปลอดภัยต่อเด็ก เนื่องจากไม่มีการดูดซึมยา ร่วมกับการป้องกันแสงแดดด้วยวิธีอื่นดังกล่าวมาแล้ว
ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

รอยแดงและรอยดำจากสิว



สิวเป็นปัญหาผิวหนังที่พบบ่อยที่สุดในวัยรุ่นจนถึงวัยเริ่มต้นทำงาน ปัญหาของคนที่เป็นสิวเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ขณะที่ตัวโรคสิวยังดำเนินอยู่โดยเห็นเป็น ตุ่มสิวหัวขาว สิวหัวดำ ตุ่มแดง ตุ่มหนอง และตุ่มแข็งเป็นไต เมื่อสิวหายหมดแล้วก็ยังอาจทิ้งปัญหารอยแดง รอยดำ และรอยแผลเป็นเอาไว้ การดูแลและรักษาอย่าถูกวิธีตั้งแต่เริ่มเป็นสิวจะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้นและสามารถลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดร่องรอยซึ่งเป็นผลพวงจากสิวได้ สาเหตุของการเกิดรอยแดงและรอยดำจากสิว สิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆสีขาว (สิวหัวขาว) หรือตุ่มสีดำ (สิวหัวดำ) เกิดจากของการอุดตันบริเวณรูเปิดของต่อมไขมัน เมื่อการอุดตันที่เกิดขึ้นไม่ได้รับการแก้ไขจะก่อให้เกิดภาวะการอักเสบและการติดเชื้อแบคทีเรียตามมา จนสิวกลายเป็นตุ่มแดง (สิวอักเสบ) และตุ่มหนอง หากการอักเสบลุกลามมากขึ้น สิวจะกลายเป็นไตแข็งบวม แดงและกดเจ็บ หรือเรียกอีกอย่างว่า “ซีสต์” หรือสิวหัวช้าง รอยแดงที่เกิดขึ้นขณะเป็นสิว เกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดบริเวณที่เกิดการอักเสบ ภาวะการอักเสบของสิวหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีอาจทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวกลายเป็นรอยแดงอยู่นานหรืออาจเป็นรอยแดงที่ถาวรได้ตำแหน่งที่สิวที่มีการอักเสบรุนแรงมักกลายเป็นแผลหลุมตามมา นอกจากนี้ภาวะการอักเสบของตุ่มสิวยังอาจก่อให้เกิดปัญหารอยดำหรือรอยคล้ำหลังจากที่รอยแดงจางหายไปแล้ว รอยดำพวกนี้เกิดการที่เซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) ถูกกระตุ้นให้เกิดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นหรือถูกกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีมากขึ้น การป้องกันการเกิดรอยแดงและรอยดำจากสิว หัวใจของการป้องกันการเกิดรอยแดงและรอยดำจากสิวคือการลดหรือป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบของสิว เมื่อมีสิวที่เป็นตุ่มแดง ตุ่มหนอง หรือเป็นไตแข็งกดเจ็บ ควรรีบรักษาโดยเร็ว ควรหลีกเลี่ยงการบีบ เค้น และแกะสิว เพราะการกระทำเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงมากขึ้น ทำให้รอยแดงหรือรอยดำที่เป็นอยู่มีสีเข้มขึ้นหรือเป็นอยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น วิธีรักษาสิวอุดตันที่ทำโดยการกดสิวอุดตันควรทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญ เพราะหากทำที่ไม่ถูกต้องอาจก่อให้เกิดรอยแดง รอยดำ และแผลหลุมตามมา วิธีรักษารอยแดงและรอยดำจากสิว การรักษารอยแดงและรอยดำจากสิว ส่วนมากใช้เวลาเป็นเดือน ต้องใจเย็นและควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การรักษาที่ได้ผลเร็วและปลอดภัยควรอยู่ภายใต้การดูแลและแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง รอยแดง รอยแดงในขณะที่เป็นสิวอยู่ ควรรักษาโดยใช้ยาทาหรือเวชภัณฑ์ที่ออกฤทธิ์ลดการอักเสบของสิว สิวที่เป็นไตแข็ง บวมแดง และกดเจ็บ (สิวหัวช้าง) ควรรักษาด้วยการรับประทานยา ทายา ร่วมกับการฉีดยาสตีรอยด์เข้าเฉพาะจุด รอยแดงที่คงอยู่เมื่อสิวหายแล้ว การรักษาการรักษาด้วยการทายามักไม่ค่อยได้ผล โดยปกติจะรักษาด้วยเลเซอร์ลดความแดง เช่น เลเซอร์เพาซ์ดายด์ (pulsed dye) รอยดำ การรักษาและลดการอักเสบของสิวที่ทันท่วงทีจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดรอยดำจากสิวได้ การรักษารอยดำมักใช้ยาทาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี เช่น ยาที่มีส่วนประกอบของสารไฮโดรควิโนน อาบูติน หรือกรดโคจิก หรือยาทาที่ออกฤทธิ์ในการเร่งการผลัดตัวของเซลล์ผิว เช่น ยาที่มีส่วนประกอบของกรดอัลฟ่าไฮดร๊อกซี่อ่อนๆ หรือกรดวิตะมินเอ การหลีกเลี่ยงแสงแดดและการทาครีมกันแดด ซึ่งต้องเป็น ครีมสำหรับผิวแพ้ง่าย (hypoallergenic) และชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดสิว (non-comedogenic) อาจช่วยให้รอยดำจางลงเร็วขึ้น คำแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นรอยแดงรอยดำจากสิว การักษารอยแดงและรอยดำจากสิวควรเริ่มต้นไปพร้อมๆกับการรักษาสิว ตราบใดที่สิวยังไม่หาย และยังมีสิวใหม่ขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจะมีรอยสิว
ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

ผิวแพ้ง่าย

เครื่องสำอางสำหรับผิวแพ้ง่าย


ในชีวิตประจำวันของทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชาย คงไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงการใช้เครื่อง สำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวได้ เพราะเราใช้เครื่องสำอางเพื่อความสวยงาม ควรใช้ เครื่องสำอางสำหรับผิวแพ้ง่าย การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อประทินผิวหรือเพื่อใช้ทำความสะอาดผิวควรใช้ ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่าย ในบางคนอาจเกิดอาการแพ้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวได้ ผลิตภัณฑ์ที่พบมีการแพ้กันบ่อยๆ เช่น ครีมบำรุงผิว ครีมรองพื้น ครีมกันแดดทาหน้า ลิปสติก สีทาเล็บ ยาย้อมผม ยาดัดผม ยาระงับกลิ่นตัว ซึ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ทำให้เกิดการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ น้ำหอม และสารกันบูด การแพ้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะในคนที่ใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายอย่าง หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลายชนิด ทำให้เพิ่มโอกาสการสัมผัสกับสารเคมีที่อาจก่อการแพ้ได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ง่ายขึ้น เช่น ในคนที่มีผิวแห้ง มีโรคผิวหนังอยู่แล้ว เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง ผื่นผิวหนังอักเสบ ผิวหนังบริเวณที่โดนทำลายด้วยแสงแดด และการดูแลผิวที่ผิด เช่น การใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ประจำ การอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนจัด หรือการอยู่ในห้องปรับอากาศที่มีอุณหภูมิเย็นจัดตลอดเวลา เมื่อเกิดการแพ้จะมีอาการแสดงได้หลายอย่าง อาจเป็นผื่นแดง ตุ่ม เป็นสิว หรือผิวแห้งลอกเป็นขุย อาจมีอาการแสบร้อน คันยิบๆ โดยที่ไม่มีอาการแสดงทางผิวหนังให้เห็นเลยก็ได้ หรือผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายผิวหลังใช้ผลิตภัณฑ์ เราสามารถแบ่งกลุ่มของคนที่มีผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin) ที่ต้องใช้  เครื่องสำอางสำหรับผิวแพ้ง่าย ได้ 4กลุ่มตามลักษณะอาการ Acne Type: เป็นผื่นแพ้ชนิดที่กระตุ้นให้เกิดสิว โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหลังวัยรุ่นที่มีประวัติการใช้เครื่องสำอางหลายชนิด คนที่มีผิวแพ้ง่ายชนิดนี้ควรเลือกใช้ เครื่องสำอางสำหรับผิวแพ้ง่าย และ ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่าย ที่มีส่วนประกอบไม่มาก ได้รับการทดสอบว่าปราศจากสารก่อสิว (Comedogenicity) หลีกเลี่ยงการใช้ครีมรองพื้น Rosacea Type: จะมีอาการแสบร้อนที่ใบหน้า หน้าแดง อาจมีตุ่ม หรือเส้นเลือดขยายตัว อาการจะรุนแรงมากขึ้นถ้ามีปัจจัยกระตุ้น เช่น อากาศที่ร้อน แสงแดด ควรเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่าย ที่มีส่วนประกอบที่ช่วยลดการอักเสบของผิวหนังได้ อย่างเช่น Zinc, Niacinamide, Licoride, Chamomile, Aloe Vera Stinging Type: จะมีอาการแสบร้อน คันยิบๆ บริเวณผิวหนังหลังใช้ผลิตภัณฑ์ โดยไม่มีอาการแสดงทางผิวหนังให้เห็น ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ AHA, Formaldehyde, Lactic Acid, Propylene glycol, Urea, Vitamin C Allergy Type: เป็นการแพ้ส่วนประกอบ หรือสารเคมีในเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่าย ดูแลผิว โดยเฉพาะในคนที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลายชนิดก็จะมีโอกาสสัมผัสกับสารก่อการแพ้ได้บ่อย และถ้าผิวหนังมีความผิดปกติอยู่แล้ว เช่น ผิวแห้ง หรือมีการอักเสบก็จะทำให้เกิดการแพ้ง่ายขึ้น น้ำหอมและสารกันบูดเป็นส่วนประกอบที่พบว่าแพ้ได้บ่อยที่สุด การทดสอบด้วยวิธี Patch Test จะสามารถช่วยบอกสารก่อการแพ้ได้ ถ้าสงสัยว่าเกิดอาการแพ้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทุกอย่าง ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน (Soap-Free) ใช้ครีมสำหรับผิวแพ้ง่ายทาผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นชนิดที่ปราศจากน้ำหอม หรือสารกันบูด รอจนสภาพผิวกลับมาปกติแล้วค่อยลองใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทีละตัว ถ้าเกิดอาการผิดปกติให้หยุด ถ้าอาการหายไปหลังหยุดใช้แสดงว่าน่าจะแพ้ผลิตภัณฑ์ตัวนั้น หรืออาจทดสอบโดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่สงสัยทาบริเวณท้องแขนหรือบริเวณหลังหู เช้า-เย็น เป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ถ้าเกิดอาการแพ้ที่รุนแรงหรือเป็นๆ หายๆ ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เพื่อรับการตรวจหาสาเหตุ และรับการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรซื้อยาใช้เองหรือเปลี่ยนเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวไปเรื่อยๆและควรหันมาเลือกใช้ เครื่องสำอางสำหรับผิวแพ้ง่าย และ ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่าย ครับ
ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

ใช้ครีมกันแดดแบบไหนถึงจะถูกวิธี



รศ.นพ.นภดล นพคุณ ได้ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ว่า คนส่วนใหญ่มักนิยมใช้ยากันแดด เมื่อต้องออกกลางแจ้ง หรือในช่วงหน้าร้อนที่ต้องไปทะเลเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว เราควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดในทุกวัน ให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน คือขึ้นอยู่กับว่ามีโอกาสสัมผัสแสงแดดมากแค่ไหน ถ้าออกจากบ้านแต่เช้ามืด กลับดึก และอยู่แต่ในตึกตลอดทั้งวัน ก็อาจใช้ครีมกันแดดสำหรับผิวแพ้ง่าย เฉพาะบางวันที่จำเป็น แต่อย่าลืมว่าแสงแดดสามารถสะท้อนพื้นน้ำ พื้นทราย ได้ แม้จะอยู่ในร่ม ก็มีโอกาสได้รับแสงอุลตราไวโอเลตอย่างแน่นอน และหลายๆ คน อาจคิดไม่ถึงว่าแสง UVA สามารถทะลุทะลวงผ่านกระจกได้ การนั่งทำงานในร่ม แต่ใกล้หน้าต่างก็มีโอกาสได้รับแสงเช่นกัน กระจกรถทั่วๆ ไปก็ไม่สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ ในขณะที่เราขับรถ รังสี UVA สามารถทะลุทะลวงมายังผิวเราได้ ซึ่งหลายๆ คน ไม่ค่อยตระหนักในเรื่องนี้เท่าไรนัก ผมจึงอยากแนะนำว่า ถ้าเป็นไป ได้ควรใช้เป็นประจำทุกวัน เราชอบคิดว่าควรใช้กันแดดยี่ห้อไหนดีแต่จริงๆแล้ว  เราควรเลือกใช้ครีมกันแดดทาหน้าที่ดีที่สุดที่มีค่า SPF/PA สูงๆ ไว้ เนื่องจากการให้ได้เผลตามที่เขียนไว้ข้างขวดนั้น ผู้ใช้จะต้องทายาหนามากขนาด 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร ซึ่งคนทั่วไปไม่ได้ทาหนาขนานดั้น เพราะไม่เหมาะกับวิถีชีวิตประจำวัน ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำว่าควรใช้ยากันแดดประมาณ 1 ข้อนิ้วชี้สำหรับทาหน้าและคอ ซึ่งควรทาอย่างน้อย 2 รอบ จึงจะสามาถป้องกันแดดได้ หากเล่นกีฬาหรือเหงื่ออออกมาก ควรทาซ้ำทุก 2 ชม. เพราะผลิตภัณฑ์กันแดดส่วนใหญ่ไม่ได้มีคุณสมบัติในการทนต่อน้ำ เมื่อเราเหงื่อออก ก็หายไปหมดแล้ว ที่สำคัญเราไม่ควรใช้ชีวิตในที่ที่มีแสงแดดจัด และเราควรป้องกันผิวจากแสงแดดตั้งแต่วัยเด็ก โดยการหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องตากแดดจัด ป้องกันร่างกายอย่างมิดชิดด้วยเสื้อผ้า แว่นกันแดด หมวก และร่ม เลือกยากันแดดที่เหมาะสมกับกิจกรรมแต่ละประเภท และอย่าลืมว่าร่างกายยังต้องการวิตามินดี จากแสงแดดเพื่อกระดูกแข็งแรง ซึ่งทางการแพทย์ได้มีการทดลองที่พบว่าการได้รับแสงแดดเพียงไม่นาน ร่างกายก็สามารถได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ ผมอยากฝากไว้ว่าการดูแลร่างกายให้มีสุขภาพดี จะช่วยให้มีสุขภาพผิวที่ดี ด้วยการดื่มน้ำเยอะๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ทำร้ายผิวด้วยการ เสพของมึนเมาหรือคาเฟอีน บวกกับการปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างถูกวิธี เพียงเท่านี้ก็จะมีสุขภาพผิวที่ดีแล้ว แต่ที่สำคัญคือต้องลงมือปกป้องผิวตั้งแต่วันนี้ เพราะผิวเรามีโอกาสที่จะโดนแสงแดดทำร้ายอยู่ตลอดเวลาครับ
ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

กระ และฝ้าเรื่องยากของปัญหาผิว



กระ และฝ้าเรื่องยากของปัญหาผิว ปัญหารอยคล้ำบนผิวหน้าเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในสุภาพสตรี โดยเฉพาะการเกิดกระและฝ้าบนใบหน้า ทำให้ผู้ที่ประสบปัญหาดังกล่าวเกิดความกังวลใจ ร่วมกับค่านิยมในสังคมที่ชอบลักษณะใบหน้าขาวใส ปราศจากจุดด่างดำ ทำให้ผู้ที่ประสบปัญหาดังกล่าวพยายามหาทางแก้ไขด้วยวิธีต่างๆ มีทั้งที่ได้ผล และไม่ได้ผล บางคนโชคร้าย เพราะนอกจากรักษาไม่ได้ผลแล้วยังเกิดอาการข้างเคียงทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จักกับปัญหาทั้งสองอย่างให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจทำการรักษา กระ และ ฝ้า คืออะไร กระและฝ้าเกิดจากการที่มีเม็ดสีเมลานิน (Melanin Pigment) สะสมในผิวหนังมากผิดปกติทำให้เกิดผิวหนังอักเสบเป็นผื่นสีน้ำตาลเป็นรอยคล้ำ อย่างไรก็ตามผื่นทั้งสองจะมีลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้ • กระมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลขนาดมักเล็กกว่า 0.5 ซม. พบกระจายอยู่บริเวณใบหน้า และผิวหนังที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ เชื่อว่าอาจมีสาเหตุจากพันธุกรรมร่วมด้วย เริ่มพบได้ตั้งแต่วัยเด็ก จากนั้นจะค่อยๆ มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น และสีเข้มขึ้น • ฝ้าพบบ่อยในสุภาพสตรีวัยกลางคน มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาล พบบริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก เหนือริมฝีปากด้านบน และคาง ผื่นมักมีสีคล้ำขึ้นเมื่อถูกแสงแดด เราสามารถแบ่งชนิดของฝ้าได้เป็น 3 ชนิด 1. ฝ้าที่เกิดในบริเวณหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้ม สามารถมองเห็นได้ชัด ฝ้าชนิดนี้ค่อนข้างตอบสนองดีต่อการรักษา เนื่องจากเม็ดสีเมลานินอยู่ไม่ลึกในผิวหนังจึงง่ายต่อการกำจัด 2. ฝ้าที่อยู่ในชั้นหนังแท้ ผื่นฝ้าจะเป็นสีน้ำตาลผสมสีเทาเข้ม ขอบเขตจะเห็นไม่ชัดเจนเนื่องจากเม็ดสีเมลานินอยู่ในระดับที่ลึกมากขึ้น มีผลทำให้รักษาค่อนข้างยาก ตอบสนองไม่ดีต่อการรักษา 3. ชนิดผสม มีเม็ดสีเมลานินสะสมมากผิดปกติทั้งในชั้นหนังแท้ และหนังกำพร้า การแยกชนิดของฝ้านั้นจะมีประโยชน์ต่อการรักษา ทำให้สามารถประเมินได้ว่าจะรักษาได้ผลดีมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามการตรวจด้วยสายตาอาจมีข้อจำกัด บางครั้งอาจต้องใช้กล้องแสงอัลตราไวโอเลต (UV Camera) ช่วยในการจำแนกชนิดของฝ้า สาเหตุการเกิด สาเหตุของการเกิดฝ้านั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ ชัด แต่เชื่อว่าน่าจะมีปัจจัยหลายอย่างร่วมกันได้แก่ แสงแดด ฮอร์โมน ยา การแพ้เครื่องสำอาง ตลอดจนพันธุกรรม • แสงแดดมีส่วนประกอบของรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด A (UVA) และชนิด B (UVB) รังสีทั้งสองชนิดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ฝ้าเป็นมากขึ้น • ฮอร์โมน เชื่อว่าฮอร์โมนเพศชนิดเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) มีผลทำให้เกิดฝ้า โดยสังเกตพบว่าฝ้าจะเป็นมากขึ้นในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือสตรีที่ ตั้งครรภ์ และฝ้ามักจะจางลงภายหลังหยุดยาคุมกำเนิดหรือหลังคลอดบุตร • การแพ้เครื่องสำอางอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดฝ้าได้ โดยเฉพาะการแพ้น้ำหอม หรือสีที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอางนั้นๆ การรักษา สำหรับการรักษากระและฝ้านั้นจะต้องทำความเข้าใจกับผู้ที่ประสบปัญหาเสียก่อนว่า ส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทั้งนี้เพราะเราไม่ทราบสาเหตุต้นกำเนิดที่แท้จริง การรักษามุ่งเน้นหลักสำคัญ 2 ประการคือ • หลีกเลี่ยงหรือป้องกันปัจจัยที่จะมากระตุ้นให้กระหรือฝ้าเป็นมากขึ้น • การพยายามรักษาให้รอยคล้ำนั้นจางลง ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด หรือยาอื่นๆ ที่อาจทำให้รอยคล้ำนั้นเป็นมากขึ้น การหลีกเลี่ยงการตากแดด เป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ การเลือกครีมกันแดดจะต้องเลือกใช้ชนิดที่เหมาะสมกับปัญหาของตัวเรา ในกรณีที่มีปัญหากระหรือฝ้าควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB สำหรับค่า SPF (Sun Protection Factor) ควรมีค่าประมาณ 15 ถึง 30 หรือสูงกว่าขึ้นไป อย่างไรก็ตามครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ บางชนิดอาจมีลักษณะข้นเหนียว ทำให้รู้สึกเหนอะหนะไม่น่าใช้ รวมทั้งอาจทำให้เกิดสิวง่ายขึ้น ควรทาครีมกันแดดทุกวัน และถ้าจำเป็นต้อง ตากแดด ควรทาครีมกันแดดวันละ 2 ครั้ง หรือมากกว่า ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าครีมกันแดดบนผิวหน้ายังมีปริมาณที่เพียงพอต่อการป้องกันแสงแดด มิได้จางหายไปกับเหงื่อที่มักจะถูกซับด้วยกระดาษหรือผ้าเช็ดหน้าอยู่เสมอ ในกรณีที่มีสภาพผิวหน้าแบบ ผิวมันเป็นสิวง่าย ผิวแพ้ง่าย ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่เป็นสูตร Non-Comedogenic หรือ สูตร Water-Based และควรอยู่ในรูปของเจลหรือโลชั่นจะเหมาะสมกว่าในรูปของครีม การรักษาฝ้าและกระยังมีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากเรายังไม่ทราบสาเหตุของปัญหาอย่างชัดเจน การแก้ปัญหาส่วนใหญ่เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุทำให้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ นอกจากนั้นการรักษาแต่ละชนิดล้วนแล้วแต่มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้นการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาจึงควรทำด้วยความระมัดระวัง ควรปรึกษาผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ร่วมกับป้องกันปัจจัยที่จะมากระตุ้นการเกิดกระและฝ้า จึงจะทำให้ได้ผลดีต่อการรักษา

ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

การปกป้องผิวสำคัญกว่าการบำรุงผิว

ครีมกันแดด สำคัญกว่าครีมบำรุงผิว


ลา โรช-โพเซย์ ได้รับเกียรติจาก รศ.นพ.นภดล นพคุณ ซึ่งปัจจุบันได้ดำรง ตำแหน่งนายกสมาคม แพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย และยังเป็นหัวหน้าหน่วยโรคผิวหนัง ของภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาให้เกียรติในการพูดคุย และให้ คำแนะนำถึงวิธีที่ถูกต้องในการดูแลผิวพรรณ เพื่อผิวสุขภาพดีสำหรับทุกคน
รศ.นพ.นภดล ได้ให้คำแนะนำว่า คนส่วนใหญ่ต้องการมีสุขภาพผิวที่ดี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เราต่างดูแลผิวกัน โดยมุ่งความสำคัญไปที่การบำรุงผิวมากกว่าการปกป้องผิวโดยใช้ครีมบำรุงสำหรับผิวแพ้ง่าย โดยหารู้ไม่ว่า ผิวของเราถูกทำร้ายจากสิ่งเร้าภายนอกอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะแสงแดดที่มีรังสีอุลตร้า- ไวโอเลต หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า รังสียูวี ซึ่งประกอบไปด้วย รังสี UVA, UVB และ UVC ซึ่งต่างกันที่ช่วงความยาวคลื่นแสงอุลตราไวโอเลต (UVL=Ultraviolet light) ซึ่งแบ่งเป็น ultraviolet A (UVA wavelength 320-400nm), ultraviolet B (UVB wavelength 280-320nm) และ ultraviolet C (UVC wavelength 190-280 nm) ซึ่งเฉพาะ UVA และ UVB (>290nm) เท่านั้นที่ส่องมาถึงพื้นโลก ส่วน UVC ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อนิวเคลียสของเซลล์ จะถูกกรองโดย โอโซนในบรรยากาศชั้น stratosphere ทำให้ไม่สามารถผ่านมาถึงพื้นโลกได้ รังสี UVB มีความยาวคลื่นสั้น (280-320nm ) มีผลต่อเซลล์ผิวหนังกำพร้าที่อยู่ชั้นนอกสุด ทำให้เกิดแดดเผา (Sunburn) มีผิวสีคล้ำ และถ้าถูกแสงแดดเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ สำหรับรังสี UVA นั้น จัดได้ว่าเป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นความยาวมาก (320-400nm) สามารถทำอันตรายต่อผิวได้มากที่สุด ที่สำคัญสามารถ ทำลายทะลุทะลวงถึงผิวหนังชั้นใน ทำลายเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสตินไฟเบอร์ ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเป็นริ้วรอยตีนกาได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดผิวสีที่ผิดปกติเป็นรอยด่างดำไม่สม่ำเสมอ ซึ่งการทำลายผิวหนังที่เกิดจากทั้ง UVA และ UVB สามารถมองเห็น ได้ในบริเวณที่ถูกแดดเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่ช้ชีวิตกลางแจ้งมาก การทำร้ายเซลล์ผิวของรังสี UV จากแสงแดดต่อผิวหนังนั้น เป็นผลสะสมในระยะยาว มีการศึกษาว่าปริมาณแสงแดด 80% ที่คนเราได้รับตลอดทั้งชีวิตนั้น ได้มาตั้งแต่ช่วงอายุ 18 ปีแรกของชีวิต จึงอยากแนะนำว่าในเด็ก ก็ควรปกป้องผิวหนังจากแสงแดดโดยใช้ครีมกันแดดเช่นเดียวกัน
ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

ทางไม่ตันของสิวอุดตัน

หน้าแพ้ง่ายใช้อะไรดี


ทางไม่ตันของสิวอุดตัน สิวแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ สิวหัวแดง หรือสิวอักเสบ (Inflammatory Acne) และสิวอุดตัน (Non-Inflammatory Acne) หรือ Comedone ซึ่งพบได้มากกว่า 70% คุณทราบหรือไม่คะว่า 70% ของสิว แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ สิวอุดตันยังแบ่งได้เป็น สิวหัวปิด (Close Comedone) ซึ่งจะเห็นเป็นตุ่มเล็กๆ สีขาว และสิวหัวเปิด (Open Comedone) หรือสิวหัวดำ สิวอุดตันพบได้ทั้งในเพศหญิง และเพศชาย ทุกกลุ่มอายุ แต่ส่วนใหญ่จะพบในวัยรุ่น และวัยหนุ่มสาว มักพบบริเวณที่มีต่อมไขมัน (Sebaceous Gland) ได้แก่ บริเวณหน้า ลำคอ และหลัง สาเหตุของการเกิดสิวอุดตันนั้น เกิดจากการผลัดเซลล์ผิดปกติ (Abnormal Keratinization) ทำให้เกิดการสะสมของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วบนผิว ทำให้เกิดการอุดตันได้ รวมทั้งเกิดจากการที่ ต่อมไขมัน สร้างไขมันมาก และเกิดอุดตันในท่อระบายไขมัน ที่เปิดสู่ผิวหนัง รวมทั้งเกิดจากการแพ้เครื่องสำอางบางชนิด การใช้สารที่มีเสตียรอยด์ ความเครียด ฯลฯ การรักษา และการดูแลสิวอุดตัน เริ่มจากการล้างหน้า ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวโดยเฉพาะสำหรับผู้มีผิวหน้าแพ้ง่าย สามารถขจัดความมันได้ มีตัวยาป้องกันการเกิดสิว อาจมีคำถามว่าหน้าแพ้ง่ายใช้อะไรดี ซึ่ง ไม่ควรใช้ เครื่องสำอางที่มีความมัน น้ำหอม อาจใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิวหนัง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ AHA, Salicylic Acid ซึ่งจะทำให้การผลัดเซลล์เป็นปกติ ช่วยในการป้องกันการเกิดสิวอุดตัน เลือกใช้ครีมกันแดดที่ไม่มัน (Oil Free) พักผ่อน, ไม่เครียด ถ้าเป็นสิวอุดตันแล้วไม่ควรแกะ หรือบีบเองนะคะ เพื่อป้องกันรอยแผลเป็น ที่จะเกิดได้ ส่วนเรื่อง หน้าแพ้ง่ายใช้อะไรดี เนี่ยขึ้นอยู่กับผิวหน้าของแต่ละบุคคลด้วยค่ะ และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่มีคุณภาพด้วยค่ะ
ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

ครีมกันแดดกับเด็ก



ปัจจุบันครีมกันแดดได้กลายเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว เพราะทั้งแสงที่สะท้อนจากพื้น และรังสีอัลตราไวโอเลตเอสามารถทะลุผ่านกระจก และสัมผัสกับผิวหนังของลูกน้อยได้ การทาครีมกันแดดทุกเช้า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถูกแสงแดดโดยตรงก็ตามช่วยทำให้ลูกมีสุขภาพผิวที่ดี ครีมกันแดดชนิดที่มีสารกันแดดกายภาพ ซึ่งมีส่วนประกอบหลักเป็นสารไททาเนียมไดออกไซด์ และซิงค์ออกไซด์นั้น สามารถใช้ได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ครีมกันแดดชนิดนี้ใช้ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตบีได้ และกันอัลตรา-ไวโอเลตเอได้บางส่วน มีความปลอดภัย และไม่ซึมผ่านผิวหนัง แต่มีข้อเสียคือ ค่อนข้างเหนียวเหนอะ ทาแล้วจะมีสีขาวเนื่องจากมีส่วนประกอบของสังกะสี ส่วนครีมกันแดดอีกชนิดจะมีสารอินทรีย์ผสมอยู่ด้วย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกันแดดให้สูงขึ้น ทำให้ทาได้ง่าย ไม่รู้สึกเหนอะหนะ และเริ่มใช้ได้ในเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป
คุณแม่สามารถทาครีมกันแดดให้ลูกน้อยได้โดยต้องเลือกชนิดที่ระบุว่า เป็นครีมกันแดดที่ได้รับการทดสอบแล้วว่าปลอดภัยสำหรับเด็ก ที่สำคัญควรเลือกชนิดที่สามารถป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตได้ทั้งเอ และบี โดยให้ทาก่อนออกแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที และหากต้องอยู่ในบริเวณที่มีแสงแดดเป็นเวลานานๆ แนะนำให้ทาซ้ำอีกรอบเพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วง 10.30 น. ถึง 16.30 น. สวมเสื้อผ้าที่มีแขนยาว สวมหมวก และอย่าลืมกางร่มให้ลูกด้วยนะคะ
ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

ผลิตภัณฑ์แบบไหนที่เหมาะกับผิวเด็ก



ศ.พญ.ศิริวรรณ วนานุกูล ได้ให้คำแนะนำว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ใดก็ตาม ไม่ว่ากับเด็กผิวแพ้ง่าย หรือเด็กปกติก็จำเป็นต้องระมัดระวังทุกอย่าง ซึ่งผลิตภัณฑ์สำหรับผิวเด็กที่ดี มักไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม หรือสารสังเคราะห์บางตัวที่จะมีผลต่อการระคายเคือง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ก็จะเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ และมักมีคุณสมบัติที่เหมาะกับผิวเด็กทั่วทั้งตัว คือใช้ได้ตั้งแต่ใบหน้า ไปจนถึงทาได้ทั่วตัว ซึ่งแน่นอนว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ล้วนต้องผ่านขบวนการทดลอง ทดสอบในห้องวิจัยมาแล้วอย่างดี แต่หากคุณพ่อคุณแม่ ไม่มั่นใจ หรืออยากทดสอบก่อนว่าจะมีผลระคายเคืองต่อผิวเด็กหรือไม่นั้น ก็สามารถทดสอบได้โดยการทาบริเวณข้อพับ หรือบริเวณที่เป็นผิวอ่อน โดยทาแล้วทิ้งไว้ราว 5 นาที หรือมากกว่า แล้วเฝ้าสังเกต หากไม่มีอาการผื่นแดง ก็แสดงว่าไม่มีอาการระคายเคือง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก จะไม่ค่อยส่งผลให้เกิดอาการแพ้อยู่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าคือ การที่ผิวเด็กไม่ค่อยได้รับการป้องกันอย่างถูกวิธี ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าผลิตภัณฑ์เพื่อการปกป้องผิวเด็กในบ้านเรานั้น ก็มีน้อยมาก ในขณะที่ต่างประเทศนั้นมีอยู่ค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนไม่ค่อยนิยมใช้กัน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความเชื่อว่าคนเอเซียมีสารต่อต้านเมลานินในผิวค่อนข้างมากกว่าคนผิวขาวหรือเปล่า จึงไม่ค่อยนิยมใช้สารผลิตครีมกันแดดกัน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะรังสี UV ไม่ได้มีผลเฉพาะการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้เรามีผิวคล้ำมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อภาพเซลล์ผิว การเหี่ยวย่น และริ้วรอยต่างๆ ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว ดังที่ได้เรียนให้ทราบในเบื้องต้นไปแล้ว จึงอยากแนะนำว่าเมื่อมีผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวที่เหมาะสำหรับเด็ก ก็ควรจะใช้ครีมกันแดด spf 50ให้เป็นกิจวัตร ใช้อย่างสม่ำเสมอ จริงๆ แล้วควรมีการทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมงด้วยซ้ำ เพราะคุณสมบัติในการปกป้องผิวของสารป้องกัน UV นั้น ไม่สามารถอยู่ได้ทั้งวัน เมื่อโดนน้ำ หรือเหงื่อในระหว่างวัน ก็มีความเข้มข้นในการปกป้องผิวน้อยลงไปด้วย จึงควรทาซ้ำให้บ่อย และใช้เป็นประจำทุกวัน เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะมีสุขภาพผิวที่ดีอย่างแน่นอนค่ะ
ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

ล้างหน้าอย่างไรไม่ให้เกิดรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย



รวบรวมทิปส์ดีๆ ในการดูแลผิวพรรณ จากเพื่อนๆชาว ลา โรช-โพเซย์ และเพื่อนๆยังสามารถนำทิปส์ไปใช้เพื่อบำรุงผิวตัวเอง หรือมาแชร์เคล็ดลับดีๆ กันได้นะคะ
ทำอย่างไร ไม่ให้หน้าเหี่ยวย่น ?
วัย 20up กันแล้ว ต้องห่วงเรื่องริ้วรอยแห่งวัยแล้วนะจ๊ะ
วิธีที่ไม่ให้รอยย่นมาเยือนเร็ว คือ เวลาล้างหน้า กะทาครีม ควรล้างและทาอย่างเบาๆให้นิ้วกลางกะนิ้วนางสัมผัสก็พอ
ยิ่งถูแรงๆ หน้ายิ่งเหี่ยวเร็ว ค่อยๆล้างค่อยๆทา ใช้เวลานานหน่อย แต่หน้าไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ก็ดีกว่าต้องมานั่งโบท๊อกซ์หน้า หาหมอหน้าทีหลังนะค่ะ ^^ เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่นำมาฝากค่ะ :)
ขอบคุณข้อมูลดีๆจากคุณ Soup_Tar*
ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

เปิดขวด Effaclare CLARIFYING MOISTURIZING LOTION ใช้แล้วดีจริงๆ

รีวิว ครีมกันแดด จากผู้ใช้จริง


สวัสดีค่าคลอดออกมาซักทีกับรีวิวกันแดดตัวโปรดที่ปลื้มใชในช่วงหลายเดือน ที่ผ่านมา ได้แก่ LAROCHE-POSAY รีวิวนี้ขอบอกไว้ก่อนว่าปลื้มจะพูดถึงแค่ในเรื่องความพึงพอใจของปลื้มแต่ เพียงผู้เดียวนะ 555 ครีมกันแดดของ LAROCHE-POSAY : Anthelios XL SPF50+ Fluid Extreme (50 ml ราคา 1,400 บาท) หาซื้อได้ตามร้านขายยาและโรงพยาบาลค่ะ LAROCHE-POSAY : Anthelios XL SPF50+ Fluid Extreme เป็นเนื้อแบบ Fluid ต้องเขย่าก่อนใช้ คือเทออกมาพร้อมกันเนื้อกันแดดไหลปรื้ดดดนำโด่ง ไม่มีน้ำหอมกลิ่นกันแดดแปลกๆหน่อยนะคะ อธิบายลำบาก ทาแรกๆแอบไม่ชินกลิ่นแต่ทาไปเรื่อยๆชินๆมันก็โอเคนะ ทาไปบนผิวทีแรกจะเห็นเป็นสีขาวๆบนผิวแต่พอเกลี่ยๆทาวนๆไป มันก็ซึมผิวหน้าดูขาวขึ้นนิดนึงแต่โดยรวมสำหรับทรายไม่ได้ทำให้วอกค่ะ กันน้ำกันเหงื่อเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายค่ะ

ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

กว่า400ปี จากน้ำแร่ธรรมชาติสู่น้ำแร่บำบัดผิวหนัง

กว่า 400 ปีแล้วที่น้ำแร่ธรรมชาติแห่งเมืองลา โรช-โพเซย์ ได้ถือกำเนิดขึ้น อุดมด้วยแร่ธาตุซิลิเนียม,แคลเซียม,ไบคาร์บอเนต,แม็กนีเซียม และแร่ธาตุอีกหลายชนิด ผสานกับน้ำลึกใต้ดินอายุกว่า 20,000 ปี ทำให้น้ำแร่แห่งนี้มีคุณสมบัติพิเศษในการบำบัดรักษาผิวหนัง โดยเฉพาะน้ำแร่ที่มีมากถึง 60 ไมโครกรัม มีคุณสมบัติในการปกป้องเซลล์ผิวจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ และช่วยชะลอความร่วงโรยของผิวพรรณด้วย ในปี ค.ศ.1905 ศูนย์บำบัดน้ำแร่ได้ถือกำเนิดขึ้น และได้รับการประกาศให้เป็น ‘ศุนย์บำบัดโรคผิวหนังด้วยน้ำแร่’ ชื่อ Thermes de la Roche-Posay โดยสมาคมอะเคดามี ออฟ เมดิซีน และศุนย์บำบัดด้วยน้ำแร่แห่งนี้นับเป็นศูนย์บำบัดด้านผิวหนังโดยเฉพาะ มีทั้งคนไข้วัยเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอาการอักเสบทางผิวอย่างรุ่นแรง อาทิ ผิวหนังอักเสบ ภูมิแพ้ แผลสะเก็ดเงิน แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และอาการสิวอักเสบ เป็นต้น ด้วยคุณค่าจากน้ำแร่ธรรมชาติ นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1975 เป็นต้นมา ผลิตภัณฑ์ทุกสูตรของลา โรช-โพเซย์จะต้องมีน้ำแร่ลา โรช-โพเซย์เป็นส่วนประกอบหลัก และลาโรช-โพเซย์ ยังได้ชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณอันดับหนึ่งที่แพทย์ผิวหนังในยุโรปแนะนำ กว่า 50 ผลิตภัณฑ์หลักๆ ของลา โรช-โพเซย์ ได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย มีความปลอดภัยในสภาวะการใช้งานจริง ลา โรช-โพเซย์ให้ความสำคัญอย่างมากต่อบรรจุภัณฑ์ที่ต้องลดอัตราการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียทุกประเภท และระบุวันหมดอายุบนทุกผลิตภัณฑ์ เพราะความใส่ใจทำให้ลา โรช-โพเซย์เป็นเวชสำอางอันดับต้นๆของโลกที่แพทย์ผิวหนังไว้วางใจและเลือกใช้สำหรับการฟื้นฟูผิว ติดตามข้อมูลสุขภาพผิวเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/LaRochePosayThailand และ http://www.larocheposay-th.com/


ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

น้ำแร่ธรรมชาติ สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ระคายเคืองง่าย

กว่า 400 ปีที่น้ำแร่ธรรมชาติแห่งเมืองลา โรช-โพเซย์ ได้ถือกำเนิดขึ้นจากน้ำฝนที่ไหลซึมผ่านชั้นหินอันอุดมด้วยแร่ธาตุซิลิเนียมและแร่ธาตุหลายชนิด ด้วยคุณค่าจากน้ำแร่ธรรมชาติช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ และช่วยชะลอความร่วงโรยของผิวพรรณ ทำให้ผลิตภัณฑ์ทุกสูตรของลา โรช-โพเซย์จะต้องมีน้ำแร่ลา โรช-โพเซย์เป็นส่วนประกอบหลัก เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายค่ะ ติดตามข้อมูลสุขภาพผิวเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/LaRochePosayThailand และ http://www.larocheposay-th.com/



ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

เคล็ดลับดูแลผิวหน้าสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว

ผลิตภัณฑ์รักษาสิว


เคล็ดลับดูแลผิวหน้าบสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว และมีผิวบอบบางระคายเคืองง่าย ผิวแพ้ง่ายสามารถดูแลผิวหน้าด้วย Effaclar กลุ่มผลิตภัณฑ์รักษาสิว*อันดับ 1** ตามขั้นตอนเหล่านี้ค่ะ และสำหรับใครที่ใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม EFFACLAR ครีมบำรุงสำหรับคนเป็นสิวอยู่ หรืออยากชวนเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผิวสะอาดใสไร้สิวมาร่วมสนุกกิจกรรม “Share Your No.1 Best Care With your Best Friend” พร้อมลุ้นรับรางวัลทั้งคุณและเพื่อนได้ที่นี่เลยค่ะ https://goo.gl/zNP0LL *สิวอุดตันและสิวที่เกิดจากความมัน **จากผลการสำรวจผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ จำนวน 720 คน ที่เข้าร่วมงานประชุมใหญ่สามัญประจำปีสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เดือนมีนาคม 2558 คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://goo.gl/CKJFx8 #LaRochePosay #LaRochePosayThailand #Effaclar #No1AcneProduct #ผิวบอบบางระคายเคืองง่าย
ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/

‘คุณ Jack Makeup’ ยกให้ Effaclar MAT เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลปัญหาสิว*อันดับ 1**



หนึ่งเสียงจาก ‘คุณ Jack Makeup’บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดังเลือก Effaclar MAT เป็นผลิตภัณฑ์รักษาสิว*อันดับ 1** ช่วยลดความมันส่วนเกินบนใบหน้า และกระชับรูขุมขนได้ดีเยี่ยม คุณแจ็คเลือกแล้ว แล้วคุณล่ะคะเลือกผลิตภัณฑ์ Effaclar เป็นวิธีรักษาสิวอักเสบที่ดี สูตรไหนเป็นอันดับ1? คลิกอ่านข้อมูลรีวิวผลิตภัณฑ์ Effaclar MAT เพิ่มเติมจากคุณแจ๊คได้ที่นี่ค่ะ http://jackmakeup.com/2015/06/04/larocheposayeffaclarmat/ *รักษาสิวอุดตันและสิวที่เกิดจากความมัน **จากผลการสำรวจผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ จำนวน 720 คน ที่เข้าร่วมงานประชุมใหญ่สามัญประจำปีสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เดือนมีนาคม 2558 #LaRochePosay #LaRochePosayThailand #Effaclar #No1AcneProduct #ผิวบอบบางระคายเคืองง่าย
ที่มา : http://www.larocheposay-th.com
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุคหมอยานเรศวร  http://www.facebook.com/moryanaresuan  
ติดตามเราเป็นเพื่อนทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40morya
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://www.moryanaresuan.com/